วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

อานุภาพแห่งความจริง

        ใจที่มีความบริสุทธิ์ สามารถสร้างแรงกาย แรงวาจา และแรงใจได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ 

        ใจดวงนี้เมื่อฝึกดีแล้ว จะเกิดอานุภาพอย่างที่ใครๆ ไม่อาจคาดคิดได้ และคิดไม่ถึง ดังนั้นให้เราหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกๆ วัน ใจที่บริสุทธิ์ด้วยความดี แม้ละโลกไปก็ยังได้ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้หมู่ญาติและบิดามารดา เพราะหากบุคคลทำหน้าที่ของตนที่ได้เกิดมาอย่างเต็มที่แล้ว ย่อมไม่เดือดร้อนในกาลภายหลัง




        มีวาระพระบาลี ขุททกนิกาย วัฏฏกชาดก ความว่า

                     "สนฺติ ปกฺขา อปตนา      สนฺติ ปาทา อวญฺจนา
                      มาตา ปิตา จ นิกฺขนฺตา   ชาตเวท ปฏิกฺกม

     ปีกของเรามีอยู่ แต่ก็บินไม่ได้ เท้าทั้งสองของเรามีอยู่ แต่ก็เดินไม่ได้ มารดาและบิดาของเราออกไปหาอาหาร ดูก่อนไฟป่า ท่านจงถอยกลับไปเถิด"


        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ พระองค์เป็นบรมครูที่สั่งสมอบรมบ่มบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน บารมีที่พระองค์สั่งสมมาคือ บารมี ๑๐ ทัศ ได้แก่ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมามากจากบารมีธรรมดาก็กลายเป็นอุปบารมี และจากอุปบารมีก็กลายเป็นปรมัตถบารมี ซึ่งเป็นบารมีขั้นสุดท้ายในการบำเพ็ญเพียรจนมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูของพวกเราทั้งหลาย

        โอกาสนี้หลวงพ่อจะขอแสดงเรื่องสัจจบารมี สัจจะคือความจริงที่เป็นสิ่งไม่ตาย เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันเราให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ ได้ และเป็นคุณธรรมที่ดีเลิศในการฝึกฝนอบรมตนเป็นคนจริง ดังเรื่องในสมัยพุทธกาล

       * ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวมคธแห่งหนึ่ง หลังจากที่พระองค์บิณฑบาต และเสวยภัตตาหารแล้ว มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ได้เสด็จดำเนินไปสู่หนทาง ในระหว่างทางเกิดไฟป่าไหม้ลุกลามขึ้น เมื่อภิกษุทั้งหลายเห็นไฟที่มีควันเป็นกลุ่มใหญ่ มีเปลวสูงถึงปลายยอดไม้ กำลังลุกลามทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้ภิกษุที่เป็นปุถุชนต่างหวาดกลัวต่อมรณภัยจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราจะจุดไฟเผาเพื่อตัดทางไฟ” เหล่าภิกษุพากันนำหินเหล็กไฟออกมาจุดไฟ

        “ฝ่ายภิกษุอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านทำอะไรกัน พวกท่านไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศในโลกกับทั้งเทวโลกหรือ ผู้เสด็จมาพร้อมกับพวกท่านทั้งหลาย พวกท่านเสมือนคนไม่เห็นดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ในท้องฟ้า ไม่เห็นดวงอาทิตย์รุ่งเรืองด้วยรัศมีอันมีกำลังตั้งพันขึ้นทางด้านทิศตะวันออก เสมือนคนที่ยืนอยู่ที่ริมฝั่งทะเลแต่มองไม่เห็นทะเล หรือเสมือนคนยืนพิงเขาสิเนรุ แต่ไม่เห็นเขาสิเนรุฉะนั้น”

        ภิกษุพวกแรกต่างพากันกล่าวอีกว่า “เราจะช่วยกันจุดไฟเพื่อตัดทางไฟ” ภิกษุขีณาสพจึงกล่าวว่า “ขึ้นชื่อว่ากำลังของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีประมาณ พวกท่านไม่รู้หรือ มาเถิดท่าน พวกเราจะไปยังสำนักของพระบรมศาสดากัน”

        ภิกษุสงฆ์พร้อมใจกันไปเฝ้าพระบรมศาสดาซึ่งทรงประทับยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นไฟป่ากำลังไหม้ส่งเสียงดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เสมือนจะเผาไหม้สถานที่แห่งนั้นให้วอดวายไปในพริบตา แต่ครั้นไฟป่าลุกลามมาถึงสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับยืนอยู่ในระยะประมาณ ๑๖ กรีส ไฟป่าก็ดับสนิทในทันที เหมือนคบไฟที่จุ่มลงในน้ำฉะนั้น

        เหล่าภิกษุเห็นเช่นนั้น ต่างพากันกล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “น่าอัศจรรย์จริง ชื่อว่าอานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไฟนี้แม้ไม่มีจิตยังไม่ไหม้สถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ได้ ย่อมดับไปเหมือนคบเพลิงหญ้าถูกดับด้วยน้ำฉะนั้น น่าอัศจรรย์จริง ชื่อว่าพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีประมาณ”

        เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ไฟป่านี้ไหม้มาถึงสถานที่ประเทศนี้แล้วดับไป เป็นกำลังของเราในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ข้อนี้เป็นกำลังแห่งความมีสัจจะที่มีในกาลก่อนของเราตถาคต จริงอยู่ ประเทศนี้ไฟจะไม่ไหม้ตลอดกัปนี้ นี้ชื่อว่าปาฏิหาริย์ตั้งอยู่ตลอดกัป” ขณะนั้นพระอานนท์เถระได้ปูลาดสังฆาฏิ ๔ ชั้น เพื่อทำเป็นสถานที่สำหรับประทับนั่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นพระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิ (Meditation) ซึ่งมีภิกษุสงฆ์นั่งแวดล้อม ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าว่า

        ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดนกคุ่มในสถานที่แห่งนี้  เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ทำลายกะเปาะฟองไข่ออกมาดูโลกได้ไม่นาน ลูกนกคุ่มมีตัวประมาณเท่าดุมเกวียนที่บรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ และวันนั้นมารดาบิดาได้ออกไปหาอาหาร ปล่อยทิ้งพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีกำลังแม้แต่จะเหยียดปีกบินไปในอากาศ ไม่มีแม้กำลังที่จะยกเท้าเดินได้

        ปกติเมื่อถึงฤดูร้อนของทุกๆ ปี ไฟป่ามักเผาไหม้สถานที่แห่งนี้เป็นประจำ ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนพอดี และเป็นความพอดีอีกเช่นกันที่ไฟป่ากำลังเผาไหม้ลุกลามส่งเสียงดังลั่นใกล้เข้ามาทุกขณะ หมู่นกรีบบินออกจากรังของตนเพราะต่างกลัวมรณภัย พากันส่งเสียงร้องหนีไฟป่ากันจ้าละหวั่น แม้แต่มารดาบิดาของพระโพธิสัตว์เอง ก็กลัวต่อมรณภัย พากันทอดทิ้งท่าน รีบบินหนีไปยังสถานที่อื่นเช่นกัน

        พระโพธิสัตว์นอนอยู่ในรังของตน ได้แต่ชะเง้อคอมองดูไฟป่าที่กำลังไหม้ลุกลามเข้ามาทุกขณะ พลางคิดว่า หากเรามีกำลังที่จะกางปีกออกบินไปในอากาศ เราก็จะโบยบินไปในสถานที่อื่น หากเราพึงมีกำลังที่จะยกเท้าเดินหนีไปได้ เราก็จะย่างเท้าหนีไปยังสถานที่อื่นเสีย ส่วนมารดาบิดาของเราต่างกลัวมรณภัย พากันทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียว บัดนี้ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี ที่ต้านทานก็ไม่มี วันนี้เราจะทำอย่างไรดีหนอ

        ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เกิดความคิดขึ้นว่า ชื่อว่าคุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก ชื่อว่าคุณแห่งสัจจะก็ย่อมมี ในอดีตกาลพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญบารมีเต็มเปี่ยมแล้วทั้งหลาย ทรงประทับนั่งที่พื้นใต้ต้นโพธิ์ ได้ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ พระองค์ทรงเพียบพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ทรงประกอบด้วยสัจจะ ความเอ็นดู ความกรุณา และขันติ คุณธรรมทั้งหลายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงให้แจ่มแจ้งแล้วย่อมมีอยู่ ก็สัจจะสักอย่างหนึ่งย่อมมีอยู่ในตัวเราเช่นกัน สภาวธรรมอย่างหนึ่งก็ย่อมมีอยู่ เพราะฉะนั้น เราจะรำลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และคุณที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงรู้แจ้งแล้ว”

        พระโพธิสัตว์จึงระลึกถึงคุณธรรม และสัจจะความดีเหล่านั้น ได้กระทำสัจกิริยาให้ไฟป่าจงถอยกลับไป เพื่อกระทำความปลอดภัยแก่ตน และหมู่นกที่เหลือที่ไม่สามารถเอาตัวรอดไปได้ ด้วยการทำสัจกิริยาว่า “คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลกนี้ ความสัตย์ ความสะอาด และความเอ็นดูมีอยู่ในโลกนี้ ด้วยความสัตย์นี้ ข้าพเจ้าขอทำสัจกิริยาอันยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าได้พิจารณากำลังแห่งธรรม ได้ระลึกถึงพระชินเจ้าทั้งปวงในปางก่อน อาศัยกำลังสัจจะนี้ ข้าพเจ้าขอทำสัจกิริยา”

        เมื่อพระโพธิสัตว์ระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว และคุณที่มีอยู่ในตน จึงกล่าวอีกว่า “ปีกของเรามีอยู่ แต่ก็บินไปไม่ได้ เท้าทั้งสองของเรามีอยู่ แต่ก็เดินไปไม่ได้ มารดา และบิดาของเราออกไปหาอาหาร ดูก่อนไฟป่า ท่านจงถอยกลับไปเสียเถิด”

        ด้วยอานุภาพแห่งสัจจบารมีของพระโพธิสัตว์ ไฟป่าก็ไม่สามารถเผาไหม้บริเวณนั้นประมาณ ๑๖ กรีส แต่ไฟป่ากลับไหม้เลยไปในสถานที่แห่งอื่น

        พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ไฟไม่ไหม้สถานที่แห่งนี้ ด้วยกำลังของเราในบัดนี้ก็หาไม่ แต่เป็นกำลังเก่า เป็นอานุภาพพลังแห่งสัจจบารมีในสมัยที่เราเป็นลูกนกคุ่ม” ครั้นจบพระธรรมเทศนา ภิกษุบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี และบางพวกได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

        จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่าการมีสัจจะนั้นเป็นคุณธรรมที่สูงส่งมีอานุภาพมากมายมหาศาล และเป็นหนึ่งในบารมี ๑๐ทัศ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญมาแล้วในสมัยที่พระองค์เป็นพระบรมโพธิสัตว์ พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีเหล่านี้อย่างเต็มที่ตลอดมา

        ดังนั้นพวกเราเหล่านักสร้างบารมี พึงฝึกฝนอบรมคุณธรรม ในเรื่องความมีสัจจะนี้ให้ดี เพราะว่าการมีสัจจะจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เป็นคนดีหรือไม่ดี และสัจจะคือความจริงที่เราจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอนั้น คือ การจริงต่อความดี หมั่นทำความดีให้เต็มที่ เพราะความดีไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนา เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เต็มที่ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ที่แท้จริงของเรา เมื่อเราจริงต่อความดีแล้ว แม้จะมีอุปสรรคปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น เราย่อมสามารถอาศัยความดีและบุญนั้น ช่วยให้เราฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้โดยง่ายดาย ขอให้เราตั้งใจสั่งสมบารมีให้เต็มที่กันทุกคน


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหา มุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

* มก. เล่ม ๕๕ หน้า ๓๔๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น